ความลับในคาร์ซีท อะไรที่ช่วยปกป้องลูกรักของคุณ

เพราะความปลอดภัยคือเหตุผลอันดับ 1 ที่พ่อแม่ต้องควักเงินซื้อคาร์ซีทให้ลูกน้อย ก็เพื่อปกป้องลูกจากการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ปัจจัยที่รองลงมาคือ ลูกนอนสบาย ใช้งานง่าย และงบประมาณ

มาตรฐานความปลอดภัยของคาร์ซีท จริงๆแล้ววัดจากอะไร ก็ต้องเป็นวัสดุที่รองรับแรงกระแทกด้านใน ซึ่งคาร์ซีทแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อใช้วัสดุภายในที่ไม่เหมือนกัน แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้

1. EPS Foam และ EPP Foam

EPS Foam (Polystyrene Foam)  เป็นวัสดุที่ช่วยลดแรงกระแทก ที่ใช้ใน หมวกกันน๊อค ช่วยปกป้องชีวิต ผู้สวมใส่ โฟมชนิดนึ้จึงถูกนำไว้ในคาร์ซีท ใช้รองรับแรงกระแทกสำหรับศีรษะและส่วนบนของร่างกายเด็ก ในกรณีที่เกิดการกระแทกโฟมจะแตกและจะกระจายแรงกระแทกออกไปโดยแทบไม่มีแรงสะท้อนกลับ จึงทำให้ได้เด็กปลอดภัย ดังนั้นผู้ผลิตคาร์ซีทระดับมาตรฐานสากลส่วนใหญ่ จึงนำโฟมชนิดนี้มาใช้ในคาร์ซีทเพื่อรองรับแรงกระแทกโดยเฉพาะ

ส่วน EPP Foam (Polypropylene Foam) เป็นวัสดุที่คล้ายกับ EPS Foam แต่มีความยืดหยุ่น ไม่แตกหักง่าย และทนความร้อนดีกว่า  จึงนำไปผลิตเป็นภาชนะบรรจุอาหาร ที่สามารถเข้าไมโครเวฟได้

ข้อมูลอ้างอิงจาก http://www.carseatsite.com/FAQ.htm

2. Urethane หรือชื่อเต็ม คือ Polyurethane ชื่อย่อที่รู้จักกันในวงการอุตสาหกรรมว่า PU

เป็นยางสังเคราะห์ชนิดหนึ่งที่นำมาใช้แทนยางธรรมชาติ มีความนุ่ม ความยืดหยุ่นสูงและทนทานกว่ายางธรรมชาติ ในอุตสาหกรรมนำมาใช้ผลิตที่นอน เบาะนั่งในรถยนต์ ยังไม่มีผลงานวิจัยที่แน่ชัด ว่าสามารถรองรับแรงกระแทกได้

ข้อมูลจากเว็ปไซต์ต่างประเทศ เปรียบเทียบคุณสมบัติของวัสดุทั้ง 3 ตัวไว้ http://www.vitarecycles.com/blog/difference-between-epe-epp-pu-foam/

ฉะนั้น การเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กเราคงต้องดูที่วัตถุประสงค์เป็นหลัก ว่าคาร์ซีทมีไว้เพื่ออะไร สำหรับพ่อแม่คาร์ซีทคือเก้าอี้นิรภัยที่ช่วยปกป้องชีวิตลูกน้อยให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ที่อาจเกิดขึ้นได้ วัสดุภายในที่ดีจึงเป็นส่วนสำคัญที่สุด ที่พ่อแม่ควรพิจารณาเป็นพิเศษ

และด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้มีการพัฒนาระบบรองรับแรงกระแทก Baby Catch Technology หรือ ระบบพนักพิงยุบตัวอัตโนมัติ โดย เมื่อเกิดอุบัติเหตุ แรงเหวี่ยงของรถที่หยุดกะทันหันจะกระชากตัวเด็กออกมาอย่างแรง และในจังหวะที่รถหยุดนิ่ง ตัวเด็กจะถูกกระแทกกลับไปที่เบาะของคาร์ซีท ทำให้แรงกระแทกนี้ส่งผลให้เด็กได้รับบาดเจ็บที่บริเวณหลังและคออย่างรุนแรง ระบบนี้ช่วยรองรับแรงกระแทกและลดแรงสะท้อนกลับ ลดอัตราการบาดเจ็บได้ดีกว่า

Baby Catch Technology ในคาร์ซีท Ailebebe จากประเทศญี่ปุ่น

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

แม่ๆ ดาราเซเลบคนดังร่วมแสดงความยินดีกับงานฉลองเปิดร้าน BabyGift สาขา เซ็นทรัลเวิลด์แบรนด์ผู้นำเข้า คาร์ซีท, รถเข็นเด็ก, เก้าอี้ทานข้าว, เป้อุ้มเด็ก และผลิตภัณฑ์สำหรับลูกน้อยที่ดีที่สุดทั้งจากประเทศญี่ปุ่น, เกาหลี และ สหรัฐอเมริกาอย่าง #APRICA #AILEBEBE #PRINCEANDPRINCESS #REALKIDS และอีกมากมาย และในงานยังเปิดตัวสินค้านวัตกรรม 3 รุ่นใหม่ได้แก่ รถเข็นเด็กพับเล็ก #Aprica #NanoSmart, คาร์ซีท #Ailebebe #Kurutto4Grance และ #Ecowell เครื่องผลิตสเปรย์ฆ่าเชื้ออเนกประสงค์ #BabyGift #CentralWorld #BabyBestItems #BabyProducts BabyGift สาขา Central World ชั้น 2 โซนลานไอซ์สเก็ตเปิดบริการ 10.00 – 22.00 น. ทุกวันโทร. 095-851-8521LINE ID : bbg_ctw

“เวลาลูกสาววัย 5 เดือนดูดนมแม่ จะมีเหงื่อออกมาก โดยเฉพาะที่ศีรษะจะเปียกตลอดเลยทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ ถือเป็นอาการผิดปกติหรือเปล่า”  เด็กต้องการพลังงานเทียบกับน้ำหนักตัวสูงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโตและสร้างเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆจึงต้องการใช้พลังงานสูงมาก เช่น เพื่อการสร้างเซลสมอง การสร้างเซลกล้ามเนื้อ ในขณะที่ผู้ใหญ่ต้องการพลังงานเพื่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กล้ามเนื้อหัวใจในเด็กทารกเป็นเซลกล้ามเนื้อชนิดที่ล้าง่าย ต้องการพลังงานสูง ชีพจรของเด็กจึงเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่ เด็กแรกเกิดชีพจรเต้น 140 ครั้งต่อนาที และลดลงเรื่อยๆเมื่อเด็กเติบโตขึ้น จนเป็น 60-80 ครั้งต่อนาทีเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญพลังงานก็ย่อมมีมาก การระบายความร้อนออกจากร่างกายทำได้โดยการขับออกเป็นเหงื่อ ดังนั้นการที่เห็นว่าทารกนอนดูดนมเฉยๆ ทำไมถึงมีเหงื่อเยอะจัง เพราะภายในร่างกายของเขามีการทำงานอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ผิดปกติค่ะ ขณะที่ผู้ใหญ่จะใช้พลังงานสูงเท่ากับที่เด็กทารกต้องการ ก็ต่อเมื่อมีการออกกำลัง จนชีพจรเต้นเร็วเท่ากับเด็กทารก ถึงเวลานั้นเราก็มีเหงื่อออกเต็มตัวเหมือนเด็กทารกเวลาดูดนมเช่นกัน อย่างไรก็ดีมีโรคบางอย่างที่ทำให้ทารกมีเหงื่อออกมากผิดปกติกว่าเด็กคนอื่น เช่น โรคหัวใจ โรคธัยรอยด์เป็นพิษ แต่ลูกควรมีอาการผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เลี้ยงไม่โต ดูดนมแล้วดูเหนื่อยต้องหยุดเป็นพักๆ ตรวจร่างกายฟังได้ยินเสียงผิดปกติที่หัวใจ หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคเหล่านี้ ให้ปรึกษากุมารแพทย์ได้ค่ะ หากตรวจแล้วพบว่าลูกปกติดี การมีเหงื่อออกเวลาดูดนม นอกจากช่วยระบายความร้อนแล้วยังช่วยให้ต่อมเหงื่อทำงานขับของเสียออกทางผิวหนังอีกทางหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ให้ลูกตลอดเวลา เพียงใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ง่าย และอยู่ในที่อากาศถ่ายเทจะดีกว่าค่ะ >>>ขอบคุณข้อมูล : สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ กฎหมายคาร์ซีท เกี่ยวกับเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 ซม. ผู้ปกครองต้องจัดหาที่นั่งพิเศษให้สำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่ทำตามกฏหมายก็จะถูกปรับ 2,000 บาท โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 นี้ เมื่อมี กฎหมายคาร์ซีท ออกมาแล้วคุณพ่อคุณแม่หลายท่านก็ต้องมองหาคาร์ซีทให้ลูกอย่างจริงจังเลยใช่ไหมคะ แล้วคาร์ซีทแบบไหนเหมาะสำหรับลูกเรา แบบไหนปลอดภัยกว่า วันนี้ Baby Gift ได้รวบรวมข้อมูลมาให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมความพร้อมแล้วค่ะ ไปดูกันเลย หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ กฎหมายคาร์ซีท เกี่ยวกับเด็กที่อายุไม่เกิน 6 ปี หรือสูงไม่เกิน 135 ซม. ผู้ปกครองต้องจัดหาที่นั่งพิเศษให้สำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่ทำตามกฏหมายก็จะถูกปรับ 2,000 บาท โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2565 […]

คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่าน คงเริ่มรู้จักกับคาร์ซีทกันบ้างแล้ว ว่าเป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกน้อยในขณะเดินทาง แต่รู้หรือไม่ว่า คาร์ซีทที่ติดตั้งในรถยนต์แต่ละประเภทนั้น จะต้องติดตั้งตำแหน่งที่แตกต่างกัน เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปหาคำตอบกันว่า วิธีติดตั้งคาร์ซีท ตำแหน่งไหนปลอดภัยมากที่สุด วิธีติดตั้งคาร์ซีท มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี  ตำแหน่งที่ควรติดตั้งคาร์ซีทมากที่สุด สำหรับประเทศไทย ตำแหน่งในรถยนต์ที่ควรติดตั้งคาร์ซีทมากที่สุดก็คือ “เบาะหลังฝั่งคนนั่ง” ด้วยเหตุผลดังนี้…  รถยนต์ SUV หรือ รถตู้ ติดตั้งคาร์ซีทเบาะไหนดี  ติดตั้งคาร์ซีทที่รถตู้ ส่วนใหญ่แล้วรถที่มีนั่งมากกว่า 2 ตอน ควรจะติดตั้งคาร์ซีทที่เบาะแถวสุดท้ายของตัวรถ แต่ก็จะมีข้อควรระวังในเรื่องของการติดตั้ง เช่น ควรจะขยับเบาะให้ห่างจากประตูหลัง เพื่อให้มีระยะห่างกับประตูพอสมควร เพื่อเป็นการเซฟตี้ลูกน้อยให้ปลอดภัยมากที่สุด  Alphard ติดตั้งคาร์ซีทได้ไหม ติดตั้งเบาะไหนดี  ติดตั้งคาร์ซีทที่รถ Toyota Alphard ควรจะติดตั้งที่เบาะแถวแรก หรือ แถวตอนสุดท้ายของตัวรถ ไม่ควรติดตั้งที่เบาะด้านหน้า เนื่องจากมีถุงลมนิรภัย (Airbag) และคาร์ซีทบางรุ่นอาจมีขนาดใหญ่ ทำให้ทัศนวิสัยในการมองของคนขับลดน้อยลง และสำหรับคาร์ซีทที่มีฟังก์ชั่นหมุนได้ เมื่อติดตั้งไปแล้วจะทำให้หมุนยากหรือหมุนไม่ได้เลย เนื่องจากเบาะรถมีขนาดพอดีตัว พื้นที่จำกัด ทำให้เวลาหมุนแล้วตัวคาร์ซีทจะไปติดที่ข้างเบาะ […]

เนื่องในเดือนแห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโรงเรียนทอสีได้จัดสัมนาเรื่อง“เลี้ยงลูกแบบสมเด็จย่า” โดยคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา อดีตข้าหลวงในพระองค์มาร่วมเล่าประสบการณ์และแบ่งปันคำสอนของสมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนีหรือสมเด็จย่าของปวงชนชาวไทยเมื่อฟังแล้วรู้สึกอยากจะบอกต่อ ถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกของพระองค์ ที่มีทั้งความปราดเปรื่องหลักแหลมและมีเป้าหมายที่ชัดเจนสมควรใช้เป็นแบบอย่างเป็นอย่างยิ่ง ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น : คำพังเพยที่เราได้ยินบ่อยๆ แต่น้อยครั้งนักจะทำความเข้าใจอย่างจริงจังในขณะที่ตัวอย่างมีให้เห็นทั้งในทางที่ดีและทางที่ไม่ดีในเรื่องของการเลี้ยงดูบุตร สมเด็จย่าทรงเริ่มจากการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ทำเป็นต้นแบบในเรื่องของการมีวินัย การรักการค้นคว้าศึกษาหาความรู้ การประพฤติตัวที่ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรม ทั้งหมดนี้คือการตั้งตนเป็นต้นแบบให้กับลูกเพราะเด็กเล็กจะมีพฤติกรรมเลียนแบบจากคนใกล้ชิดเพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องลองตั้งคำถามกลับมาที่ตัวเองว่าทุกวันนี้ที่เราอยากให้ลูกเป็นแบบนั้นแบบนี้แล้วเราล่ะเป็นแล้วหรือยัง ตั้งเป้าหมายในการเลี้ยงลูก: สมเด็จย่าทรงเป็นพระมารดาที่มีเป้าหมายในการเลี้ยงลูกอย่างชัดเจนคือทรงตั้งใจอบรมพัฒนาลูกๆ ให้ดีในทุกๆ ด้านเพื่อให้เป็นบุคคลที่ทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง ทรงไม่คิดถึงประโยชน์ของพระองค์เอง ประโยชน์ของพระโอรส หรือพระธิดา แต่ทรงมองถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ในปัจจุบันหลายครั้งที่เราเห็นพ่อแม่ส่งลูกเรียนพิเศษในทุกวิชาโดยที่ไม่ได้ถามลูกว่าลูกอยากเรียนอะไร หรือพ่อแม่ที่คาดหวังเรื่องผลการเรียนสูงๆ จากลูกเหล่านั้นคือการตั้งเป้าหมายกับลูกซึ่งเป็นการเอาความคาดหวังของตัวเองไปให้กับลูก เราจึงต้องมองย้อนกลับมาดูใหม่ว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้หรือความคาดหวังนั้นเป็นไปเพื่อใคร เพื่อลูก เพื่อตัวเราเอง หรือเพื่อคนอื่นๆ ด้วย ถ้าพ่อแม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเลี้ยงลูกก็จะทำให้เราสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของเด็กๆ ได้สูงยิ่งขึ้น จัดแบบแผนและสร้างระเบียบวินัยตั้งแต่ลูกยังเล็ก: สมเด็จย่าทรงวางแผนการดำเนินชีวิตให้กับพระโอรสพระธิดาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เนื่องจากต้องทรงเป็นทั้ง “พ่อ” และ “แม่” ในเวลาเดียวกันทรงจัดการทุกอย่างเป็นเวลา โดยมีผู้ช่วยคือพระพี่เลี้ยงเพียงหนึ่งคนเท่านั้นเนื่องจากในเวลาที่เด็กยังเล็กเขาไม่มีความรู้เรื่องขอบเขตของเวลา พ่อแม่จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดเวลาให้กับพวกเขาเช่นนอน รับประทานอาหาร เล่น ไปโรงเรียน อาบน้ำ ออกกำลังกาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะสร้างวินัยให้กับลูกซึ่งสมเด็จย่าทรงเน้นเรื่องวินัยในการดำเนินชีวิตพระองค์รับสั่งถึงคำว่า “ระเบียบวินัยอย่างมีหลักการ” คือการกำหนดขอบเขตของเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสมดุลให้กับชีวิตซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเติบโตของเด็กๆ ต่อไป เล่นอย่างถูกวิธี : เมื่อถึงเวลาเล่นจะทรงปล่อยให้พระโอรสและพระธิดาเล่นอย่างอิสระ โดยจะทรงให้เล่นกับธรรมชาติ ต้นไม้ น้ำทรงเน้นให้เล่นกับสิ่งที่มีในธรรมชาติมากกว่าของเล่น ทรงอนุญาตให้พระโอรสเล่นจุดไฟแต่จะทรงบอกวิธีในการเล่นที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดอันตราย ผลจากการที่พระโอรสและพระธิดาได้ทรงเล่นคลุกดินคลุกทรายหรือได้ทำการทดลองกับธรรมชาติเหล่านี้ส่งผลให้ทั้งสามพระองค์ได้พัฒนาความคิดและความสามารถโดยที่ไม่ทรงรู้ตัว ตัวอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างหลุมที่เกิดจากการปลูกต้นไม้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ทดลองขุดดิน ใส่น้ำ ปลูกต้นไม้ จะสามารถสร้างแอ่งน้ำขึ้นมาได้ด้วยพระองค์เอง […]

มาทำความรู้จักกับโรค Shaken Baby Syndromeสำหรับพ่อแม่คนไทยอาจไม่คุ้นหูกับโรคนี้ แต่ในต่างประเทศโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายๆ กับคุณแม่มือใหม่ มิหนำซ้ำความรุนแรงยังอันตรายถึงชีวิตของลูกน้อย โรค Shaken Baby Syndrome คือโรคที่มักพบในเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี เกิดจากการที่พ่อแม่จับลูกเขย่าแรงๆ อาจจะด้วยความตั้งใจหรือไม่นั้น แรงเขย่าจะทำให้เนื้อสมองกระแทกกับกะโหลกศีรษะ จนสมองได้รับการกระทบกระเทือนและมีเลือดออก เพราะเส้นเลือดในสมองของเด็กเล็กๆยังไม่แข็งแรง โอกาสที่มีการฉีกขาดจึงมีมากกว่าผู้ใหญ่ สาเหตุที่ทำให้ทารกเป็น Shaken Baby Syndrome จนทำให้พิการ หรือถึงขั้นเสียชีวิตเพราะการเขย่ารุนแรงจนมีภาวะเสี่ยงเป็นโรค Shaken Baby Syndrome นี้ มักจะไม่ทิ้งร่องรอยที่ร่างกายภายนอก ทารกจึงไม่ได้รับการรักษา เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานก็อาจมีปัญหาด้านการเรียนรู้ สติปัญญา อาจเกิดอาการเป็นลมชัก ตาบอด หรือร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ วิธีสังเกตอาการภาวะเสี่ยงเป็น Shaken Baby Syndrome– อาการอาเจียน หรือหายใจลำบาก ซึ่งอาจดูไม่รุนแรง คล้ายภาวะปวดท้อง ช่วง 3 เดือนแรก(Baby Colic) เมื่อพาลูกน้อยไปพบแพทย์ ต้องบอกด้วยว่าเด็กโดนเขย่าอย่างรุนแรง หากเกิดภาวะเสี่ยงเป็น Shaken Baby Syndrome […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages