คู่มือการเก็บรักษา นมแม่ เก็บยังไงไม่ให้เหม็นหืน ? ควรให้นมลูกปริมาณแค่ไหน ? รวมคำถามคาใจคุณแม่ในบทความเดียว !
น้ำนมของแม่นั้นเป็นอาหารที่เปี่ยมคุณค่ามากที่สุดสำหรับลูกน้อย โดยเฉพาะในเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งจะต้องกินนมจากแม่เป็นหลัก สำหรับคุณแม่ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลาก็อาจจะไม่ได้มีปัญหากับการสต็อกน้ำนมเอาไว้ เพราะเน้นการเอาลูกเข้าเต้าเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน การทำสต็อกน้ำนมเอาไว้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะได้มีน้ำนมเอาไว้ให้ลูกน้อยอย่างเพียงพอ ในบทความนี้ BabyGift มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการเก็บรักษา นมแม่ มาฝากกันค่ะ จะเก็บน้ำนมอย่างไรให้ไม่เหม็นหืน ไม่บูด และคงคุณค่าทางอาหารเอาไว้ได้มากที่สุด มาดูกันเลยค่ะ
ทำไมนมของแม่มีกลิ่นเหม็นหืน ? มีวิธีการเก็บรักษา นมแม่อย่างไรไม่ให้มีกลิ่นและคงคุณค่าได้นาน
คุณแม่บางคนอาจพบว่านมที่ตนเองทำการสต็อกไว้นั้นมีกลิ่นเหม็นหืน ซึ่งมักจะเกิดกับนมที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เนื่องจากในช่วงที่ระบบละลายน้ำแข็งทำงาน นมที่แช่แข็งเอาไว้ก็จะละลายไปด้วย และเมื่อช่องแช่แข็งกลับมาเย็นจัดใหม่ ก็ทำให้น้ำนมแข็งตัวอีกครั้ง กระบวนการนี้หากเกิดขึ้นซ้ำหลาย ๆ ครั้งก็จะทำให้ไขมันในน้ำนมมีการเปลี่ยนแปลงและทำให้นมมีกลิ่นเหม็นหืนได้นั่นเองค่ะ ดังนั้นแล้วการเก็บรักษานมแม่ ในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติแบบนี้ ก็เสี่ยงจะทำให้น้ำนมที่เก็บเอาไว้มีกลิ่นเหม็นหืนได้
สาเหตุที่นมแช่แข็งละลายมาเป็นน้ำนมแล้วมีกลิ่นเหม็นหืน ก็เพราะว่าในน้ำนมของแม่มีเอ็นไซม์ไลเปส ที่จะช่วยย่อยไขมันในน้ำนมของแม่ให้แตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ เพื่อผสมกับโปรตีนเวย์ในน้ำนมได้ดี ทำให้ร่างกายของลูกน้อยดูดซึมวิตามิน A และวิตามิน D ได้มากขึ้น ถ้าในน้ำนมของแม่มีไลเปสมากก็จะย่อยไขมันได้มาก ทำให้น้ำนมมีกลิ่นหืนนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีกลิ่นหืนก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยแต่อย่างใด ยังสามารถกินได้ แต่ในเด็กบางคนอาจไม่ยอมกินนมที่มีกลิ่นหืน สามารถแก้ไขได้โดยการนำน้ำนมที่ปั๊มมาใหม่ๆ ผสมกับนมที่มีกลิ่น ก็จะช่วยเจือจางกลิ่นและลดความเหม็นหืนไปได้ โดยผสมในอัตราส่วนที่นมใหม่มีปริมาณมากกว่านมที่มีกลิ่น แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเรารู้วิธีการเก็บรักษาน้ำนมของแม่อย่างไรไม่ให้มีกลิ่นหืนและคงคุณค่าได้นาน มาดูกันต่อค่ะ
แชร์วิธีการเก็บรักษา นมแม่สำหรับการสต็อกน้ำนม ไม่ให้เหม็นหืน
สำหรับบางบ้านแม้ไม่ได้ใช้ตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ แต่นมที่เก็บเอาไว้ก็ยังมีกลิ่นเหม็นหืนอยู่ก็อาจเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน BabyGift มีวิธีเก็บรักษา นมแม่ไม่ให้เหม็นหืนและคงคุณค่าน้ำนมเอาไว้ได้มาฝากดังนี้ค่ะ
- ก่อนปั๊มนมควรตรวจสอบเครื่องปั๊มนมก่อนว่าสะอาดดีหรือไม่ ควรนึ่งฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ภาชนะที่เก็บน้ำนมต้องสะอาด ปลอดเชื้อ
- เมื่อเตรียมน้ำนมใส่ถุงสต็อกเรียบร้อยแล้ว ควรรีดอากาศออกจากถุงเก็บน้ำนมให้มากที่สุดก่อนเก็บ และรีบนำน้ำนมเข้าตู้เย็น
- หากเก็บน้ำนมในถุงพลาสติกแล้วมีกลิ่นเหม็นหืนมาก อาจเปลี่ยนเป็นภาชนะที่ทำจากแก้วแทน (สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับ เทคนิคการเลือกถุงเก็บน้ำนม ในเว็บไซต์ BabyGift เป็นข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยนะคะ)
- ไม่ควรเก็บน้ำนมร่วมกับอาหารอื่นๆ รวมถึงจัดเก็บอาหารในตู้เย็นในภาชนะที่ปิดมิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นอาหารมาปะปนกับน้ำนม
- ไม่เก็บถุงน้ำนมใกล้ส่วนของช่องแข็งหรือช่องแช่ที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เพราะความเย็นจะไม่คงที่
- การปั๊มนมให้ลูกกินวันต่อวัน เป็นอีกหนึ่งวิธีการเก็บรักษา นมแม่ ไม่ให้มีกลิ่นหืน
- หากเก็บแบบแช่แข็งให้เอาน้ำนมแช่แข็งมาไว้ในช่องเย็นธรรมดาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำนมละลายก่อน และยังสามารถเอาน้ำนมที่ละลายแล้วมาเทใส่ขวดให้ลูกกินเย็นๆ ได้เลย วิธีนี้จะไม่ทำให้ลูกน้อยปวดท้องหรือท้องเสียแต่อย่างใด และไม่ทำให้นมของแม่มีกลิ่นเหม็นหืนอีกด้วย
- สำหรับการเก็บในช่องแช่แข็ง ควรวางถุงในแนวราบเพื่อให้นมแข็งตัวได้เร็ว หรือจะวางถุงนมในแนวราบบนถาดสแตนเลส จากนั้นใช้น้ำเย็นราดก่อนเอาไปเก็บในตู้แช่แข็งก็จะช่วยให้นมแข็งตัวได้เร็วขึ้น และช่วยลดกลิ่นเหม็นหืนได้ดี
- สำหรับคุณแม่ที่ทำตามวิธีการเก็บรักษา นมแม่ ข้างต้นแล้ว แต่ยังพบว่าน้ำนมมีกลิ่นหืนอยู่ อาจจะต้องต้มน้ำนมก่อนเก็บ โดยการต้มน้ำนมที่ได้จากการปั๊มนมที่อุณหภูมิ 82 องศาเซลเซียส สังเกตจากการเห็นฟองเล็กๆ ผุดขึ้นมาในหม้อ จากนั้นจึงปิดไฟ รอจนน้ำนมเย็นลงจึงเก็บใส่ถุง และนำไปแช่แข็ง การต้มนมด้วยวิธีนี้จะช่วยยับยั้งการทำงานของไลเปสในน้ำนม ทำให้ลดกลิ่นเหม็นหืนได้เป็นอย่างดี แต่ก็ต้องแลกด้วยการเสียคุณค่าทางอาหารบางอย่างและสูญเสียภูมิคุ้มกันในน้ำนมไปจากการต้มด้วยความร้อนนั่นเองค่ะ
ชวนรู้ น้ำนมของแม่เก็บที่อุณหภูมิต่างๆ ได้นานแค่ไหน ?
การเก็บน้ำนมในช่องแช่เย็นทั่วไปหรือเก็บในรูปแบบต่างๆ จะเก็บได้นานเท่าไหร่ มาดูกันค่ะ
- เก็บที่อุณหภูมิห้อง โดยมีอุณหภูมิมากกว่า 25 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 1 ชั่วโมง
- เก็บในห้องแอร์ โดยมีอุณหภูมิน้อยกว่า 25 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 4 ชั่วโมง
- เก็บในกระติกน้ำแข็ง อุณหภูมิน้อยกว่า 15 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 24 ชั่วโมง
- เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 4 วัน หรือ 96 ชั่วโมง
- เก็บในตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูเดียว = เก็บได้นาน 2 สัปดาห์
- เก็บในตู้เย็นช่องแช่แข็งแบบประตูแยก = เก็บได้นาน 3 เดือน
- เก็บในตู้เแช่แข็งแบบประตูแบบ deep freezer อุณหภูมิ -19 องศาเซลเซียส = เก็บได้นาน 6 เดือน
จะอุ่นน้ำนมสต็อกอย่างไร ให้คงคุณค่าทางสารอาหารได้มากที่สุด
นอกจากวิธีการเก็บรักษา นมแม่ จะมีความสำคัญและต้องทำอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้เก็บรักษาน้ำนมของแม่ไว้ได้นานและไม่เหม็นหืนแล้ว วิธีการอุ่นนมสต็อกอย่างถูกต้องนั้นก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะถ้าอุ่นผิดวิธีอาจทำให้นมสูญเสียคุณค่าได้ ซึ่งวิธีอุ่นนมสต็อกที่ถูกต้องทำได้ดังนี้ค่ะ
- หากต้องการนำนมที่แช่แข็งไว้มาใช้ ให้นำมาไว้ในช่องตู้เย็นปกติก่อน 1 คืน หรือนำมาตั้งไว้ในอุณหภูมิห้องไม่เกิน 2 ชั่วโมง และสามารถป้อนลูกแบบเย็น ๆ ได้เลย
- ถ้าลูกไม่ชอบแบบเย็น ๆ ควรนำนมไปแช่ในน้ำอุ่นที่อุณหภูมิไม่เกิน 40 องศาเซลเซียสเพื่อให้ละลาย ไม่ควรนำไปแช่ในน้ำร้อน นำไปใส่ในไมโครเวฟ หรือนำไปละลายบนเตาเพราะจะทำลายสารอาหารและภูมิคุ้มกันออกไปด้วย
- ในส่วนของนมแช่แข็งที่ละลายแล้ว หากกินไม่หมดก็สามารถเก็บเข้าตู้เย็นได้ แต่ต้องใช้ภายใน 24 ชั่วโมง และห้ามนำกลับไปแช่แข็งใหม่
- น้ำนมที่เหลือจากการป้อนลูก ไม่ว่าจะป้อนจากขวด จากแก้ว หรือจากถ้วย ห้ามเทกลับเข้าไปในภาชนะเก็บอย่างเด็ดขาด และถ้าหากไม่ได้ใช้ภายใน 2 ชั่วโมงให้เททิ้ง เนื่องจากมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียจากปากของทารกแล้ว
นมแม่ดีอย่างไร ทำไมต้องให้ลูกกินนมของแม่ให้นานที่สุด ?!
จริงอยู่ที่คุณแม่หลายๆ คนอาจจะเกิดความท้อใจในการเก็บสต็อกน้ำนมเตรียมไว้ให้ลูก เพราะมีขั้นตอน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย และอาจจะกำลังคิดว่าจะให้ลูกกินนมผงเสริมแทนดีหรือไม่ ขอบอกเลยว่า ควรให้ลูกกินน้ำนมของแม่ให้นานทีสุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีข้อแนะนำว่าควรให้ลูกกินน้ำนมของแม่ไปจนถึงอายุ 6 เดือน แต่เราสามารถให้ลูกกินนมของแม่ได้จนถึงอายุ 2 – 3 ขวบเลยทีเดียว เนื่องจากน้ำนมของแม่เป็นอาหารที่ทรงคุณค่ามากที่สุดสำหรับเด็ก ประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย และยังมีสารช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหลายอย่าง ช่วยทำให้ลูกมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ น้ำนมของแม่นั้นมีคุณค่ามากมาย เช่น
- มีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับลูกน้อยอย่างครบถ้วน มีแร่ธาตุวิตามินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูกน้อย
- น้ำนมของแม่ย่อยและดูดซึมได้ง่าย ทำให้ลูกน้อยขับถ่ายได้ดี ลดอาการท้องอืดและอาการโคลิค
- ช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะลำไส้เน่าตายเฉพาะส่วน (Necrotizing Entercolitis) ในทารกคลอดก่อนกำหนด
- มีการศึกษาพบว่า การกินน้ำนมของแม่อย่างเดียวจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในอนาคต เมื่อเทียบกับทารกกลุ่มที่กินนมแบบผสม
- ในน้ำนมของแม่มี DHA ที่ช่วยในการมองเห็น ช่วยบำรุงสมอง ทั้งยังช่วยเพิ่มระดับสติปัญญา ความสามารถในการเรียนรู้ และความฉลาดทางอารมณ์
นอกจากนี้ การให้ลูกกินนมของแม่ยังดีต่อตัวคุณแม่เองด้วย เพราะจะช่วยให้น้ำหนักลดเร็ว และช่วยเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้ขณะตั้งครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจขาดเลือด ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ในแม่ได้ และในขณะที่แม่ให้นมลูก คุณแม่จะหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) ออกมา ซึ่งจะช่วยให้มดลูกเข้าอู่หรือกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังส่งผลต่ออารมณ์ของคุณแม่ ช่วยทำให้เกิดความผูกพันระหว่างแม่ลูก ทำให้คุณแม่เกิดความผ่อนคลาย และช่วยลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้อีกด้วย
ปริมาณน้ำนมที่ลูกต้องการในแต่ละช่วงวัย เท่าไหร่ถึงจะพอดี ?
องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่า เด็กแรกเกิด – 6 เดือน ควรกินนมของแม่เพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่ต้องกินอาหารเสริมอื่นๆ เพื่อให้ทารกได้รับสารอาหารจากนมแม่ได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้ทารกเกิดการแพ้อาหารในอนาคตอีกด้วย ซึ่งคุณแม่อาจเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ในแต่ละวันนั้นควรให้นมลูกในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ ซึ่งได้มีการกำหนดเอาไว้ดังนี้ค่ะ
- อายุ 1 เดือน ควรให้นมปริมาณครั้งละ 2 – 4 ออนซ์ ประมาณ 7 – 8 ครั้งต่อวัน
- อายุ 2 – 6 เดือน ให้เพิ่มปริมาณเป็น 4 – 6 ออนซ์ ประมาณ 5 – 6 ครั้งต่อวัน
- อายุ 6 – 12 เดือน ควรให้ปริมาณ 6 – 8 ออนซ์ วันละ 4 – 5 ครั้ง รวมกับอาหารเสริมอื่น ๆ
- อายุ 1 ขวบขึ้นไป ควรให้ปริมาณ 6 – 8 ออนซ์วันละ 3 – 4 ครั้ง หลังกินอาหาร
BabyGift แนะนำสินค้าดีๆ เป็นตัวช่วยสำหรับการเก็บสต็อกน้ำนมให้ลูก
1. MR.FOX ถุงเก็บน้ำนมรุ่นพลัส ขนาด 8 ออนซ์
ถุงเก็บน้ำนมรุ่นพลัส ขนาด 8 ออนซ์ จากแบรนด์ MR.FOX ช่วยในการเก็บน้ำนมได้ดีช่วยลดการเหม็นหืนในน้ำนมได้ ขอบถุงซีลหนาถึง 5 มิลลิเมตร สามารถเขียนด้วยปากกาลูกลื่นได้ ไม่ต้องยุ่งยากในการหาปากกา permanent เป็นถุงนมทึบแสง ช่วยรักษาแร่ธาตุวิตามินในน้ำนมได้ดี ทำจากวัสดุ Food grade ปราศจากสาร BPA ที่เป็นอันตรายต่อลูกน้อย
จุดเด่น
- สามารถต่อตรงจากเครื่องปั๊มลงถุงเก็บน้ำนมได้เลย และสามารถต่อจุกนมให้ลูกดื่มจากถุงได้เลยเช่นกัน
- ไม่ต้องใช้ขวดนม ทำให้คุณแม่ไม่ต้องเสียเวลาล้าง – นึ่งขวดนม ซึ่งใช้เวลานาน
- ช่วยลดการปนเปื้อนจากการเทไปเทมาระหว่างขวดนมและถุงเก็บน้ำนม แล้วยังลดการปนเปื้อนจากการล้างขวดนมไม่สะอาดอีกด้วย
- ผลิตจากพลาสติกหนา 2 ชั้น ทำให้เหนียว หนา ไม่แตก ไม่รั่วซึม ซึ่ง Mister Fox เป็นเจ้าเดียวในตลาด ที่ใช้พลาสติกชนิดไนลอนซึ่งดีที่สุดในการทำถุงนมอีกด้วย
- ช่วยให้คุณแม่ไม่ต้องพกขวดนม เพิ่มความสะดวกสบายให้คุณแม่มากขึ้น
2. PRINCE & PRINCESS เครื่องอุ่นนม Baby Bottle Warmer & Sterilizer
ตัวช่วยสำคัญในการอุ่นน้ำนมให้ลูก ต้องเครื่องอุ่นนมจาก PRINCE & PRINCESS รุ่น Baby Bottle Warmer & Sterilizer อุ่นน้ำนมให้ลูกพร้อมกินโดยไม่ทำให้น้ำนมเสียคุณค่าทางอาหาร (อุ่นที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส) น้ำหนักเบา พกพาง่าย สามารถอุ่นนมลูกได้ทุกที่ทุกเวลา
- มี 4 โหมดทำงานอัจริยะ ได้แก่ โหมดอุ่นนม (Warm) โหมดละลายน้ำแข็ง (Defrost) โหมดอุ่นอาหารเด็ก (Food) และโหมดนึ่งฆ่าเชื้อขวดนม (Sterilize)
- น้ำหนักเบาเพียง 780 กรัม
- ประหยัดเวลาคุณแม่ สามารถอุ่นน้ำนมให้ลูกได้พร้อมกัน 2 ถุง
- ปราศจากสาร BPA สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ใช้งานได้อย่างปลอดภัย
- สั่งงานด้วยระบบ Touch Screen
- มีการรับประกันสินค้าและบริการหลังการขาย
3. PRINCE & PRINCESS ถุงเก็บน้ำนม อลูมิเนียมฟอยล์ รุ่น Snowbear Series
ถุงเก็บน้ำนมอลูมิเนียมฟอยล์รุ่น Snowbear Series จากแบรนด์ PRINCE & PRINCESS มาพร้อมคุณสมบัติพิเศษ ช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นหืนได้ดี เป็นถุงทึบแสง 100 เปอร์เซ็นต์ มีความแข็งแรงทนทาน สามารถคงคุณค่าสารอาหารในน้ำนมเอาไว้ให้ลูกน้อยได้อย่างมีคุณภาพ ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อวิธีเดียวกับการฆ่าเชื้อในอาหาร สะอาด ปลอดภัย ไม่มีสารตกค้าง ถุงเก็บน้ำนมทนความร้อนได้ถึง 80 องศาเซลเซียส มีช่องเทน้ำนมแยก ฉีกง่าย เทง่าย ไม่ปนเปื้อน เก็บรักษาน้ำนมให้ลูกน้อยได้อย่างดีเยี่ยม
จุดเด่น
- ถุงหนา 4 ชั้น ประกอบด้วยวัสดุ Aluminium foil เสริมด้วย Polyethylene Polyamide และ Polyester แข็งแรงทนทานกว่าถุงเก็บน้ำนมพลาสติกใสทั่วไป
- ผลิตด้วยเทคโนโลยีการปิดกั้นออกซิเจน ลดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ป้องกันการเปลี่ยนสีของน้ำนม
- ซิปล็อค 2 ชั้น ซีลขอบข้าง 0.6 มิลลิเมตร เสริมความแข็งแรง ไม่แตกง่าย
- เก็บความเย็นได้นานกว่าถุงนมพลาสติกใสทั่วไป พร้อมทนอุณหภูมิต่ำได้มากถึง -20 องศาเซลเซียส
- นำความร้อนได้ดี อุ่นน้ำนมได้เร็ว เพียงใช้โหมด Warm ละลายนมแม่แช่แข็งได้ในเวลา 20 นาที หรือจะอุ่นนมเย็นเพียง 10 นาที ก็พร้อมเสิร์ฟให้ลูกน้อยได้เลย
- ใน 1 กล่อง มีถุงเก็บน้ำนม 4 สี สีม่วง สีเขียว สีเหลือง และสีชมพู ขนาด 7 ออนซ์ จุน้ำนมได้ 200 มิลลิลิตร มีทั้งหมด 30 ชิ้น
การเก็บรักษา นมแม่นั้น มีหลายขั้นตอน และมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องใส่ใจมากมาย แต่แม้ว่าจะยุ่งยากขนาดไหน สำหรับคุณแม่ที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อยอย่างน้ำนมแม่แล้ว เชื่อว่าไม่ได้เป็นเรื่องยากเกินกำลังของคุณแม่อย่างแน่นอน การให้ลูกได้กินนมของแม่อย่างยาวนานมากที่สุดนั้น ส่งผลดีต่อสุขภาพของลูกในระยะยาว ทั้งในเรื่องการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรงและไม่ป่วยง่ายอีกด้วย และปัจจุบันก็มีตัวช่วยดีๆ มากมายที่ทำให้การเก็บรักษา นมแม่ง่ายขึ้น ทั้งนี้ หากคุณแม่สนใจสินค้าแม่และเด็กอื่นๆ สามารถเข้ามาเลือกชมสินค้าได้ที่ร้าน BabyGift ร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กระดับคุณภาพที่มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถมาเยี่ยมชมสินค้าต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นถุงเก็บนม เครื่องอุ่นนม เครื่องปั๊มนม หรือสินค้าอื่นๆ ก็ตาม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านเบบี้กิ๊ฟทั้ง 6 สาขาใกล้บ้าน หรือสอบถามผ่านช่องทาง Online ทีมงาน BabyGift ยินดีให้คำแนะนำค่ะ
สินค้าที่เกี่ยวข้อง
บทความแนะนำ
เนื่องในเดือนแห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโรงเรียนทอสีได้จัดสัมนาเรื่อง“เลี้ยงลูกแบบสมเด็จย่า” โดยคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา อดีตข้าหลวงในพระองค์มาร่วมเล่าประสบการณ์และแบ่งปันคำสอนของสมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนีหรือสมเด็จย่าของปวงชนชาวไทยเมื่อฟังแล้วรู้สึกอยากจะบอกต่อ ถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกของพระองค์ ที่มีทั้งความปราดเปรื่องหลักแหลมและมีเป้าหมายที่ชัดเจนสมควรใช้เป็นแบบอย่างเป็นอย่างยิ่ง ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น : คำพังเพยที่เราได้ยินบ่อยๆ แต่น้อยครั้งนักจะทำความเข้าใจอย่างจริงจังในขณะที่ตัวอย่างมีให้เห็นทั้งในทางที่ดีและทางที่ไม่ดีในเรื่องของการเลี้ยงดูบุตร สมเด็จย่าทรงเริ่มจากการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ทำเป็นต้นแบบในเรื่องของการมีวินัย การรักการค้นคว้าศึกษาหาความรู้ การประพฤติตัวที่ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรม ทั้งหมดนี้คือการตั้งตนเป็นต้นแบบให้กับลูกเพราะเด็กเล็กจะมีพฤติกรรมเลียนแบบจากคนใกล้ชิดเพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องลองตั้งคำถามกลับมาที่ตัวเองว่าทุกวันนี้ที่เราอยากให้ลูกเป็นแบบนั้นแบบนี้แล้วเราล่ะเป็นแล้วหรือยัง ตั้งเป้าหมายในการเลี้ยงลูก: สมเด็จย่าทรงเป็นพระมารดาที่มีเป้าหมายในการเลี้ยงลูกอย่างชัดเจนคือทรงตั้งใจอบรมพัฒนาลูกๆ ให้ดีในทุกๆ ด้านเพื่อให้เป็นบุคคลที่ทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง ทรงไม่คิดถึงประโยชน์ของพระองค์เอง ประโยชน์ของพระโอรส หรือพระธิดา แต่ทรงมองถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ในปัจจุบันหลายครั้งที่เราเห็นพ่อแม่ส่งลูกเรียนพิเศษในทุกวิชาโดยที่ไม่ได้ถามลูกว่าลูกอยากเรียนอะไร หรือพ่อแม่ที่คาดหวังเรื่องผลการเรียนสูงๆ จากลูกเหล่านั้นคือการตั้งเป้าหมายกับลูกซึ่งเป็นการเอาความคาดหวังของตัวเองไปให้กับลูก เราจึงต้องมองย้อนกลับมาดูใหม่ว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้หรือความคาดหวังนั้นเป็นไปเพื่อใคร เพื่อลูก เพื่อตัวเราเอง หรือเพื่อคนอื่นๆ ด้วย ถ้าพ่อแม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเลี้ยงลูกก็จะทำให้เราสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของเด็กๆ ได้สูงยิ่งขึ้น จัดแบบแผนและสร้างระเบียบวินัยตั้งแต่ลูกยังเล็ก: สมเด็จย่าทรงวางแผนการดำเนินชีวิตให้กับพระโอรสพระธิดาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เนื่องจากต้องทรงเป็นทั้ง “พ่อ” และ “แม่” ในเวลาเดียวกันทรงจัดการทุกอย่างเป็นเวลา โดยมีผู้ช่วยคือพระพี่เลี้ยงเพียงหนึ่งคนเท่านั้นเนื่องจากในเวลาที่เด็กยังเล็กเขาไม่มีความรู้เรื่องขอบเขตของเวลา พ่อแม่จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดเวลาให้กับพวกเขาเช่นนอน รับประทานอาหาร เล่น ไปโรงเรียน อาบน้ำ ออกกำลังกาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะสร้างวินัยให้กับลูกซึ่งสมเด็จย่าทรงเน้นเรื่องวินัยในการดำเนินชีวิตพระองค์รับสั่งถึงคำว่า “ระเบียบวินัยอย่างมีหลักการ” คือการกำหนดขอบเขตของเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสมดุลให้กับชีวิตซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเติบโตของเด็กๆ ต่อไป เล่นอย่างถูกวิธี : เมื่อถึงเวลาเล่นจะทรงปล่อยให้พระโอรสและพระธิดาเล่นอย่างอิสระ โดยจะทรงให้เล่นกับธรรมชาติ ต้นไม้ น้ำทรงเน้นให้เล่นกับสิ่งที่มีในธรรมชาติมากกว่าของเล่น ทรงอนุญาตให้พระโอรสเล่นจุดไฟแต่จะทรงบอกวิธีในการเล่นที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดอันตราย ผลจากการที่พระโอรสและพระธิดาได้ทรงเล่นคลุกดินคลุกทรายหรือได้ทำการทดลองกับธรรมชาติเหล่านี้ส่งผลให้ทั้งสามพระองค์ได้พัฒนาความคิดและความสามารถโดยที่ไม่ทรงรู้ตัว ตัวอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างหลุมที่เกิดจากการปลูกต้นไม้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ทดลองขุดดิน ใส่น้ำ ปลูกต้นไม้ จะสามารถสร้างแอ่งน้ำขึ้นมาได้ด้วยพระองค์เอง […]
เชื่อว่าอาการปวดหลังหรืออาการปวดเมื่อยตามร่างกายนั้น ต้องเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนเคยสัมผัสมาก่อน โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องนั่งหรืออยู่ในท่าทางเดิมเป็นเวลานาน ๆ และก็อาจจะมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่างเบาะยางพาราและเบาะเมมโมรี่โฟมเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย เนื่องจากวัสดุดังกล่าวให้ความรู้สึกที่นุ่มสบายและช่วยคลายความปวดได้ แต่ทราบหรือไม่คะว่า ปัจจุบันนี้มีสิ่งที่เรียกว่า Vetagel (เวทาเจล) ซึ่งเป็นวัสดุเจลประเภทหนึ่งที่มีความยืดหยุ่นสูง คืนตัวได้เร็ว และลดแรงกดทับได้ดีกว่ามาก ทั้งยังเป็นที่นิยมในประเทศเกาหลีอีกด้วย vetagel คืออะไร มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง มีประโยชน์ทางด้านสุขภาพของเราอย่างไร ไปอ่านพร้อม ๆ กันเลยค่ะ Vetagel คือ อะไร ? ชวนรู้จักเจลชนิดพิเศษเพื่อสุขภาพ นำเข้าจากเกาหลีใต้ vetagel คือวัสดุเจลชนิดหนึ่ง เป็นเจลใสสีเขียวชนิดพิเศษ ผลิตขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ เนื้อเจลจะมีคุณสมบัติเหนียว แข็งแรง มีความยืดหยุ่นสูงมาก แม้มีแรงกดทับหนัก ๆ ก็ไม่เสียรูปทรงง่าย สามารถกระจายแรงกดทับได้ดีและคืนตัวได้เร็ว เมื่อเรากดลงไปในเนื้อเจล เนื้อเจลจะเด้งดึ๋งคืนตัวทันที (Fast Recovery Property) ทำให้เกิดแรงกดทับได้น้อยมาก ๆ ซึ่งแตกต่างจากวัสดุชนิดอื่น ๆ เช่น เมมโมรี่โฟมหรือยางพาราที่เมื่อเราใช้มือกดลงไป วัสดุจะค่อย ๆ คืนตัวช้า ๆ […]
การเป็นแม่มือใหม่คือการเผชิญหน้ากับโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้และความท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพของลูกน้อย เพราะสุขภาพที่ดีเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเติบโตและพัฒนาการของเด็กๆ ในวัยเด็กแรกเกิด ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ดูยากในตอนเริ่มต้น แต่แม่มือใหม่สามารถเริ่มต้นด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้ลูกมีสุขภาพดีได้ มาดูกันว่า 10 เคล็ดลับที่จะช่วยเลี้ยงลูกให้สุขภาพดีมีอะไรบ้างค่ะ 1. ให้นมแม่เป็นหลัก การให้นมแม่เป็นการมอบสารอาหารที่ดีที่สุดแก่ลูกในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต นมแม่มีทั้งสารอาหารที่ครบถ้วนและภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อที่พบบ่อยในเด็ก เคล็ดลับ: 2. เริ่มอาหารเสริมเมื่อถึงเวลา เมื่อเด็กครบ 6 เดือน ควรเริ่มให้อาหารเสริมเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโต การเลือกอาหารที่เหมาะสมจะช่วยพัฒนาร่างกายและสมองของลูกได้อย่างดี เคล็ดลับ: 3. ส่งเสริมการนอนหลับที่เพียงพอ การนอนหลับที่เพียงพอช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเด็กและช่วยพัฒนาสมอง เด็กเล็กต้องการการนอนหลับมากในแต่ละวัน เคล็ดลับ: 4. ฉีดวัคซีนตามกำหนด การฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคร้ายแรง เช่น โรคหัด คอตีบ หรือบาดทะยัก ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่มือใหม่ไม่ควรมองข้าม เคล็ดลับ: 5. ให้ลูกได้รับการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพัฒนาการร่างกายและสมองของลูก การให้ลูกมีโอกาสเคลื่อนไหวตามวัย เช่น การคลาน การนั่ง หรือการยืน ช่วยเสริมพัฒนาการให้ดีขึ้น เคล็ดลับ: 6. รักษาความสะอาดและสุขอนามัย การรักษาความสะอาดทั้งร่างกายและสิ่งแวดล้อมช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อในช่องปากหรือผิวหนัง […]
หลากหลายฟังก์ชั่น ช่วงอายุการใช้งานยาวนาน รองรับเด็กมีความสูง 76 ถึง 150 ซมผ่านมาตรฐานความปลอดภัย I-size R 129 และการรับรองจากสภาบันชั้นนำ เบาะกว้าง นั่งสบาย นุ่มกว่าที่เคยสัมผัสรองรับเด็กน้ำหนัก 15 ถึง 36 กิโลกรัมผ่านมาตรฐาน ECE R44-04และการทดสอบจากสถาบันชั้นนำในยุโรป พกพาสะดวก ติดตั้งง่ายรองรับเด็กน้ำหนัก 15 ถึง 36 กิโลกรัมผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ECE R44-04
Baby Shower เป็นการจัดงานเลี้ยงฉลองเพื่อรับขวัญทารกที่ใกล้คลอด แขกที่มาร่วมงานส่วนใหญ่จะเป็นญาติและเพื่อนสนิท ซึ่งจะนำของขวัญมามอบให้คุณแม่ เพื่อต้อนรับเจ้าตัวน้อยของครอบครัวนั่นเอง เป็นการแบ่งปันความรักให้กับครอบครัวและเพื่อนๆ เป็นที่นิยมในต่างประเทศ และปัจจุบันคนไทยเริ่มนิยมธรรมเนียมนี้เพิ่มมากขึ้น เริ่มจากการตั้งงบประมาณ ดูจากจำนวนแขกที่เชิญ หาสถานที่ ที่เราและแขกเดินทางสะดวก หรือถ้าบ้านมีบริเวณรับแขกจำนวนเยอะได้ ก็จัดที่บ้านได้เลยค่ะ เลือกธีมงาน ส่งคำเชิญแบบออนไลน์สะดวกที่สุดค่ะ เตรียมของตกแต่งในงาน เตรียมอาหารและเครื่องดื่ม ตามธรรมเนียมว่าที่คุณแม่ จะมี Registered list ว่าของที่อยากได้มีอะไรบ้าง ก็จะทำให้คุณแม่ได้ของใช้เบบี๋ได้ตรงกับใจที่ต้องการ และลิสต์ของรับขวัญจะมีตามนี้นะคะ 1. เสื้อผ้าเด็กอ่อน รวมไปถึงถุงมือ ถุงเท้า หมวก ผ้าห่อตัว ผ้าห่ม จัดแบบยกเซตไปเลยรับรองว่าคุณแม่เป็นปลื้มแน่ๆ 2. เก้าอี้ทานข้าว บางคนอาจคิดว่า กว่าจะได้ใช้ต้องรอเด็กโตก่อน ประมาณ 6 เดือนขึ้นไป แต่เอาจริงๆแล้ว แป๊บๆเองนะคะ ได้ใช้ยาวๆจนเด็กโต 3 – 4 ปีได้เลย นะคะ 3. เปลไกว ยิ่งเป็นแบบอัตโนมัติยิ่งดี จะได้ช่วยให้แม่ๆได้พักผ่อนไปพร้อมกับลูกๆ 4. เป้อุ้มเด็ก ไอเทมนี้ไม่ควรพลาด ตัวช่วยคุณแม่ที่คุณพ่อสามารถแบ่งเบาได้ด้วย พ่อใช้ก็ชิลๆ แม่ใช้ก็ชิคๆ […]
ร้านสินค้าแม่และเด็กที่คัดสรรนวัตกรรมของใช้แม่และเด็กที่มี
คุณภาพให้คำปรึกษาและบริการ อย่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยให้การเลี้ยงลูกเป็นเรื่องง่าย ปลอดภัย และมีความสุข
Online Shopping
สาขา ปิ่นเกล้า ราชพฤกษ์
สาขา Central World
สาขา BTS วงเวียนใหญ่
สาขา นอร์ทปาร์ค วิภาวดี
สาขา The Crystal รามอินทรา
สาขา Mega บางนา
Copyright 2024 © Baby Gift (Retail) Co., Ltd.