เปรียบเทียบ Ailebebe รุ่น Kurutto R The First 1 และ Kurutto R The First 2 เลือกรุ่นไหนให้เหมาะกับลูกน้อย ?

Ailebebe รุ่น Kurutto R The First 1 และ Kurutto R The First 2 เป็นคาร์ซีทเด็กแรกเกิดที่ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีนวัตกรรมความปลอดภัยล้ำสมัย ช่วยให้การเดินทางของลูกน้อยทั้งปลอดภัยและสะดวกสบาย และทั้ง 2 รุ่น มีคุณสมบัติที่เด่นและแตกต่างกัน ซึ่งสามารถตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความรู้จักกับความแตกต่างเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับความต้องการของครอบครัวได้ค่ะ 

เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีท Ailebebe รุ่น Kurutto R ได้อย่างเหมาะสมกับลูกน้อยมากที่สุด มาเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไมรุ่นนี้ถึงเป็นที่นิยมและมีจุดเด่นอะไรบ้างนะคะ   

ทำไมต้องเลือก Ailebebe รุ่น Kurutto R ? 

1. มาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด : ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากสหภาพยุโรป R129 (i-Size) 

2. การทดสอบที่แม่นยำ : ใช้เซ็นเซอร์วัดแรงกระแทกสูงสุดถึง 32 จุดบนหุ่นจำลอง และหุ่นไม่ได้รับการบาดเจ็บ 

3. ทดสอบการชนที่เข้มงวด : ทดสอบการชนที่ความเร็ว 70-100 กม./ชม. เพื่อความปลอดภัยสูงสุด 

4. รองรับศีรษะทารกได้อย่างปลอดภัย : ซัพพอร์ตศีรษะหนาถึง 100 mm. เพื่อปกป้องศีรษะและลำตัวของทารกได้อย่างแน่นหนา 

5. การปกป้องครบทุกด้าน :  ออกแบบคาร์ซีททรงไข่ Egg shield protection เบาะลึกโอบทั่วตัว ไม่ให้ส่วนใดของทารกยื่นออกไปจากขอบคาร์ซีท 

6. การปกป้องจากแสงแดด  : หลังคาคลุมยาวถึงปลายเท้า 98 ซม. ช่วยป้องกันแสงแดดและยูวี 

7. การระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ :  ช่องระบายอากาศ 1,695 ช่อง ช่วยหมุนเวียนอากาศและรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสม 

8. สะดวกในการใช้งาน :  หมุน 360 องศาด้วยมือเดียว เพื่อความสะดวกในการอุ้มลูกเข้า-ออกจากคาร์ซีท 

9. โครงสร้างแข็งแรงทนทาน :  ผลิตจากไฟเบอร์กลาสที่มีความแข็งแรงและทนทานมากกว่าพลาสติกทั่วไป 

10. องศาการนั่งปลอดภัย : ช่วยให้ทารกนอนหลังตรง ป้องกันการงอของกระดูกสันหลัง และทำให้ทารกรู้สึกปลอดภัยและสบายมากขึ้นอีกด้วย 

11. Made in Japan : คาร์ซีท Ailebebe ผลิตที่ Yuki Factory ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก 

เปรียบเทียบ Ailebebe รุ่น Kurutto R The First 1 และ Kurutto R The First 2

1. ผ้าฆ่าเชื้อ AG Pure 

Kurutto R The First 1 มีผ้าฆ่าเชื้อ AG Pure 3 จุด ได้แก่ ข้างซัพพอร์ต, เบาะรองนั่ง, และผ้าซับน้ำลาย ส่วน Kurutto R The First 2 เพิ่มเป็น 4 จุด ครอบคลุมข้างซัพพอร์ต, เบาะรองนั่ง, นวมหุ้มเข็มขัด, และผ้าซับน้ำลาย ช่วยปกป้องลูกน้อยจากแบคทีเรียและเชื้อโรคในทุกส่วนที่สัมผัส  

2. ขนาดเบาะซัพพอร์ตทารก 

Kurutto R The First 1  มีขนาดเบาะซัพพออร์ตปกติ (Size L) ในขณะที่ Kurutto R The First 2 มีขนาดเบาะใหญ่กว่า (Size LL) ซึ่งการเลือกขนาดที่เหมาะสมจะช่วยให้ลูกน้อยนั่งสบายและปลอดภัยตลอดการเดินทาง

3. ซัพพอร์ตศีรษะด้านข้างและด้านหลัง 

Kurutto R The First 1 มีซัพพอร์ตด้านข้างขนาด 100 mm. และซัพพอร์ตด้านหลัง 70 mm. ซึ่งให้การปกป้องที่มั่นคง ขณะที่ Kurutto R The First 2 มีซัพพอร์ตด้านข้างขนาดเดียวกัน แต่ซัพพอร์ตด้านหลังจะบางกว่าเล็กน้อยที่ 60 mm. ซึ่งเหมาะกับการยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหวมากขึ้น 

4. ฟีเจอร์เข็มขัดนิรภัย  

ทั้งสองรุ่นมีฟีเจอร์ “สายเข็มขัดยกขึ้นอัตโนมัติ” ที่ทำให้การใส่เข็มขัดให้ลูกน้อยเป็นเรื่องง่ายและสะดวก แต่ Kurutto R The First 2 เพิ่มฟีเจอร์ “นวมหุ้มเข็มขัดพับขึ้นอัตโนมัติ” ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการพาลูกน้อยขึ้นลงจากคาร์ซีทได้ 

5. เสริมโฟมเพิ่มความสบายในการนั่ง 

Kurutto R The First 1 ไม่มีการเสริมวัสดุ Polyurethane Foam ในเบาะ ทำให้เบาะมีความแข็งเล้กน้อย แต่ Kurutto R The First 2 ได้รับการเสริมวัสดุ Polyurethane Foam ทำให้การนั่งสบายขึ้น เหมาะสำหรับการเดินทางที่ยาวนานขึ้น 

6. สีของคาร์ซีทและดีไซน์   

Kurutto R The First 1 มีสี Luna Black และ Stella Navy ที่สวยเรียบหรู ขณะที่ Kurutto R The First 2 มาในสีใหม่ที่ทันสมัยกว่า ได้แก่ Pearl Black และ Pearl Beige ที่ให้ความรู้สึกหรูหราและทันสมัยมากขึ้น 

คุณพ่อคุณแม่คงเริ่มเห็นความแตกต่างระหว่าง Ailebebe รุ่น Kurutto R The First 1 และ Kurutto R The First 2 แล้วนะคะ โดยทั้งสองรุ่นมีฟังก์ชันและนวัตกรรมเหมือนกัน เช่น ระบบหมุน 360 องศา, การรองรับศีรษะทารก, โครงสร้างแข็งแรง และการระบายอากาศที่ดี ซึ่งออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายของลูกน้อย 

แต่สำหรับรุ่น Kurutto R The First 1 จะเหมาะกับทารกแรกเกิดที่ต้องการความปลอดภัยและสะดวกสบาย ขณะที่รุ่น Kurutto R The First 2 เพิ่มฟีเจอร์เสริมที่ให้ความสะดวกสบายและรองรับได้มากขึ้น ทำให้เหมาะกับการใช้งานในระยะยาว ทั้งสองรุ่นมั่นใจได้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะได้รับความปลอดภัยสูงสุดสำหรับลูกน้อยค่ะ 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคาร์ซีท Ailebebe รุ่น Kurutto R หรือการเลือกซื้อคาร์ซีท สามารถคลิกที่ลิงก์นี้เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยค่ะ  https://shop.babygiftretail.com/product-category/all/ailebebe

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00
คาร์ซีทเด็กโต AILEBEBE รุ่น Papatto Premium

สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ขวบ / 25kg (Group 0+/1/2)

7,700.00

บทความแนะนำ

เสื้อผ้าสำหรับเด็กเล็กๆ นั้นมักจะมีแต่สีสันสดใส เพื่อให้ดูเหมาะสมกับวัย คุณแม่จึงไม่ค่อยจะมีเสื้อผ้าเด็กสีดำติดบ้านกันสักเท่าไหร่ บางบ้านไม่มีเสื้อผ้าเด็กสีดำเลยด้วยซ้ำ จึงใส่ชุดให้ลูกไปตามที่มี ซึ่งก็เกิดประเด็นทำให้คุณแม่เป็นกังวลอย่างมาก บ้างโดนต่อว่าด้วยคำพูด บ้างโดนตำหนิด้วยสายตา “ทำไมไม่ใส่ชุดดำให้ลูก” พลอยทำให้คุณแม่ไม่กล้าพาลูกออกจากบ้าน เพราะที่บ้านไม่มีเสื้อผ้าเด็กสีดำเลย แล้วอย่างนี้ เด็กเล็กแต่งกายไว้ทุกข์อย่างไรดี สำหรับชุดไว้ทุกข์ของเด็กๆ นั้น ไม่ได้เคร่งครัดอะไร คุณแม่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปค่ะ ขอให้เป็นสีเรียบๆ ไม่ฉูดฉาด หากเป็นไปได้ก็คุมโทนเสียหน่อย ด้วยโทนดำ ขาว ไข่ไก่ ครีม เทา น้ำเงิน น้ำตาลเข้ม ตัวอย่างแบบเสื้อผ้าเด็กสำหรับใส่ไว้ทุกข์มาฝากให้คุณแม่ลองนำไปมิกซ์แอนด์แมทช์ดูนะคะ การแต่งกายไว้ทุกข์สำหรับเด็กผู้ชาย การแต่งกายไว้ทุกข์สำหรับเด็กผู้หญิง สำหรับบ้านไหนที่ไม่มีเสื้อผ้าลูกสีคุมโทนตามที่กล่าวมา การซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ลูกเพื่อใส่ไว้ทุกข์อาจไม่ใช่คำตอบ ด้วยราคาเสื้อดำที่ตอนนี้ค่อนข้างแพง และเด็กๆ เขาก็โตเร็ว ใส่ไม่เท่าไหร่ก็คับต้องยกให้คนอื่น คำนวณแล้วอาจไม่คุ้มกับราคาที่ต้องจ่าย อาจใช้วิธีย้อมผ้าสีดำ แทนก็ได้ เพียงซื้อสีย้อมผ้าราคาย่อมเยา ก็แปลงโฉมเสื้อผ้าสีสันเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ถวายอาลัยได้แล้ว ขอบคุณแหล่งที่มาจาก : เว็ปไซด์ amarinbabyandkids

คงมีหลายครั้งที่คุณแม่มองกระจกแล้วก็รู้สึกสงสัยว่า เราทำสีผมได้มั้ยนะ? ใช่ค่ะ คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตมาหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะคุณแม่ๆ สายแฟ ที่ทนเห็นผมโคนดำของตัวเองแทบไม่ไหว สมัยก่อนก็มีความเชื่อหลายอย่างเกี่ยวกับผมอยู่นะคะ ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนบอกว่าแม่ท้องไม่ควรตัดผม แล้วก็ไม่ควรทำสีผม เพราะผมเป็นเหมือนเกราะป้องกัน เป็นสิ่งที่จะคุ้มกันลูกน้อยจากอันตรายต่างๆ ส่วนบางคนก็บอกว่าแม่ท้องควรจะตัดผม เพราะว่าสารอาหารจะได้ไปเลี้ยงลูกน้อยให้เพียงพอ แต่มาสมัยนี้ ที่คุณแม่ไม่กล้าทำอะไรกับผมมากมายก็น่าจะเป็นเพราะกลัวสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นพีพีดี ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือแอมโมเนีย ที่ผสมอยู่ในสีย้อมผม แต่ถ้ามาดูกันจริงๆ แล้ว สารเคมีพวกนี้ส่งผลต่อลูกน้อยมั้ยนะ? เรามีคำตอบสำหรับคำถามนี้มาให้แล้วค่ะ มีงานวิจัยรองรับเรื่องการทำสีผมในคนท้องหรือเปล่า? ถ้าพูดกันตามตรงก็ต้องบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีงานวิจัยไหนมายืนยันว่าคนท้องห้ามย้อมผม แม้สีย้อมผมจะมีส่วนผสมของสารเคมีอยู่หลายชนิด แต่สารเคมีพวกนี้ก็ซึมเข้าสู่กระแสเลือดในปริมาณที่ค่อนข้างน้อยเลยล่ะค่ะ ยาย้อมผมมีส่วนผสมของสารเคมีตัวไหนบ้าง? สารเคมีหลักๆ ในยาย้อมผมก็ได้แก่ รีซอร์ซินอล พีพีดี แอมโมเนีย แล้วก็ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ค่ะ ซึ่งส่วนมากผลข้างเคียงของมันก็อาจทำให้คุณแม่เกิดอาการแพ้ แต่มันก็จะมีผลแค่สำหรับคนที่แพ้สารพวกนี้เท่านั้นนะคะ นอกจากนี้ก็อาจจะมีอาการวิงเวียนศีรษะเนื่องจากกลิ่นของมัน อย่างไรก็ตาม มันก็จะมีบางกรณีที่คุณแม่บางคนอาจจะไม่ได้แพ้สารเคมีบางตัวในช่วงก่อนท้อง แต่หลังท้องแล้วกลับกลายเป็นว่าแพ้ก็มีค่ะ เพราะฉะนั้นอาจจะต้องระวังนิดนึงนะ สารเคมีมีผลต่อลูกน้อยรึเปล่านะ? สารเคมีที่อยู่ในยาย้อมผมไม่ได้มีในปริมาณที่สูงขนาดนั้นค่ะ แล้วอีกอย่าง ปกติเวลาเรารับสารเคมีเข้าไปในร่างกาย ถ้าไม่เยอะมากจนก่อเป็นสารร้าย มันจะถูกขับออกมาในรูปของปัสสาวะ ข้อสำคัญที่สุดคือ สายรกเป็นอะไรที่มหัศจรรย์และเป็นเกราะคุ้มกันลูกน้อยที่ดีมากๆ เพราะมันจะช่วยกรองสารแปลกปลอมต่างๆ แทบจะไม่ให้มีหลุดรอดเข้าไปหาลูกน้อยเลยล่ะค่ะ ก่อนย้อมผมควรรู้ไว้ 1.เวลาย้อมผม เราขอแนะนำให้คุณแม่หาผ้าปิดปาก […]

การเดินทางด้วยรถยนต์เป็นสิ่งที่แม่มือใหม่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่การที่ลูกน้อยยังไม่สามารถนั่งในรถได้อย่างปลอดภัยด้วยเข็มขัดนิรภัยธรรมดา การเลือกซื้อคาร์ซีทที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อความปลอดภัยในทุกการเดินทางของลูกน้อย วันนี้เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกคาร์ซีทอย่างไรให้เหมาะสมกับลูกน้อยและปลอดภัยที่สุดค่ะ 1. รู้จักประเภทของคาร์ซีท ก่อนที่จะเลือกคาร์ซีทให้ลูกน้อย สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก็คือประเภทของคาร์ซีทที่มีในตลาด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้: คาร์ซีทสำหรับทารก (Rear-Facing Seat): เหมาะสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ หรือมีน้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม คาร์ซีทประเภทนี้จะติดตั้งหันหลังและรองรับศีรษะและคอของเด็กให้ดีเยี่ยม ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ คาร์ซีทแบบหันหน้า (Forward-Facing Seat): ใช้ได้เมื่อเด็กมีอายุ 1 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนักประมาณ 9-18 กิโลกรัม ตัวคาร์ซีทจะหันหน้าไปข้างหน้าและมีเข็มขัดนิรภัยในตัว คาร์ซีทแบบบูสเตอร์ (Booster Seat): เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 4 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนัก 15 กิโลกรัมขึ้นไป เพื่อเสริมให้เข็มขัดนิรภัยของรถยนต์สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยกับเด็กที่โตขึ้น 2. เลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก การเลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับวัยของลูกเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ลูกน้อยได้รับการรองรับที่ดีในขณะนั่งในรถ หากเลือกคาร์ซีทผิดประเภทอาจทำให้ลูกไม่สามารถได้รับความปลอดภัยที่ดีที่สุดในกรณีเกิดอุบัติเหตุ 3. ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเลือกซื้อคาร์ซีท คาร์ซีทที่ดีจะต้องมีการทดสอบด้านความปลอดภัยผ่านมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐาน […]

เมื่อลูกน้อยของเราเริ่มโตขึ้นและมีอายุ 6 เดือนขึ้นไป นอกจากการให้นมแม่แล้ว คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะกำลังมองหาอาหารเสริมอื่น ๆ ให้กับเด็ก ๆ เพื่อรับประทานร่วมกับนมแม่ เป็นการเพิ่มคุณค่าทางโภชนการให้ลูกน้อย ให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น และยังเป็นการฝึกให้เริ่ม  กินอาหารชนิดอื่นนอกจากนมแม่อีกด้วย โดยทั่วไปแล้วเรามักจะคุ้นเคยกับวิธีการเตรียมอาหารบดละเอียดให้ลูก แต่ปัจจุบันมีการกินที่เรียกว่า BLW (Baby-Led Weaning) ที่เป็นการฝึกให้ลูกน้อยของเราได้ช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เล็ก และยังส่งผลดีต่อการพัฒนาการของลูกอีกด้วย BLW คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ส่งผลดีต่อเด็กอย่างไร และคุณแม่จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ BLW คืออะไร ? ชวนรู้จักวิธีการฝึกลูกน้อยกินข้าวมื้อแรกด้วยตัวเอง ผู้ปกครองหลายคนอาจเกิดความสงสัยว่า BLW คืออะไร ? Baby – Led Weaning หรือ BLW คือการฝึกให้ลูกของเรากินอาหารได้ด้วยตัวเองตั้งแต่มื้อแรก โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเตรียมอาหารปั่นหรืออาหารบดให้ลูกน้อย แต่เป็นการให้ลูกน้อยใช้มือหยิบจับอาหารนิ่ม ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ และกินด้วยตัวเอง ให้ลูกได้ฝึกหยิบจับอาหาร ฝึกเคี้ยว และช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เด็ก จะนั่งกินเองหรือนั่งกินไปพร้อมกับคุณพ่อคุณแม่ก็ได้เช่นกัน โดยสามารถฝึกให้ลูกกินแบบนี้ได้ตั้งแต่อายุ 6 […]

BabyGift Grand Opening ฉลองเปิดสาขาใหม่ “ปิ่นเกล้า-ราชพฤกษ์” สาขาที่ 7 อย่างเป็นทางการตอกย้ำความเป็นผู้นำร้านจำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก BabyGift พร้อมที่จะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณพ่อ-คุณแม่และลูกน้อยในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ” The Best Gift for your Baby ” ​ ขอขอบคุณ แบรนด์ Partner ผู้บริหาร และคณะกรรมการทุกท่านเป็นอย่างมาก ที่มาร่วมงาน และคอยสนับสนุนเบบี้กิ๊ฟอย่างดีตลอดมาค่ะ Attitude Mom Thailand : เครื่องปั๊มนม 5 โหมด อัจฉริยะ กรวยซิลิโคนแท้ Spectra Thailand เครื่องปั้มนม Iflin baby PUR Thailand Mellow for Kids ผ้ารองกันน้ำ100% เมลโล่ Bambies Thailand Baby Natura Beaba Thailand Luxury Baby […]

แพมเพิส หรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กเล็กที่จะใช้กันตั้งแต่แรกเกิด เพราะว่าช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สะดวกสบายมากขึ้น ประหยัดเวลาในการซักทำความสะอาด แถมเวลาออกจากบ้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปื้อนเลอะ ซึ่งคุณแม่หลายๆ คนอาจจะมีคำถามในใจว่าจะให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ดังนั้นในบทความนี้ BabyGift จะมาไขข้อข้องใจให้กับคุณแม่กันค่ะ ให้ลูกเลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ชวนคุณแม่ทำความเข้าใจก่อนให้ลูกเลิกใช้แพมเพิส หนึ่งในคำถามยอดนิยมของเหล่าคุณแม่ก็หนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าจะให้ลูกเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี เนื่องจากเรื่องของค่าใช้จ่าย ความกังวลที่ว่าลูกจะติดแพมเพิส ความสะดวกสบายในการสวมใส่ของเด็ก ฯลฯ อีกมากมาย สำหรับเรื่องของช่วงเวลาของการเลิกแพมเพิสนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เรามาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ เลิกแพมเพิสกี่ขวบดี ? ถ้าจะถามว่าควรเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมื่อไหร่ดี จริงๆ ไม่ได้มีกำหนดตายตัวค่ะ อยากให้ดูจากความพร้อมของลูก และคุณพ่อ คุณแม่ มากกว่า เด็กบางคน 8 เดือนก็เลิกได้แล้ว บางคนก็มาเลิกได้ตอนช่วงก่อนเข้าโรงเรียนในช่วง 3 – 4 ขวบ ดังนั้น BabyGift จึงพูดได้ว่าไม่ได้มีกำหนดเวลาตายตัวจริงๆ และคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรไปกดดันน้องๆ ให้ลูกของเรามีความพร้อมจะดีที่สุดค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องอดทนและให้กำลังใจเด็ก เพราะว่าการฝึกขับถ่ายเป็นก้าวสำคัญของพัฒนาการ และแต่ละคนมีจังหวะที่แตกต่างกัน ไม่ควรกดดันหรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น และหากว่าคุณแม่มีข้อกังวลอื่นๆ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำค่ะ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ลูกของเราพร้อมที่จะเลิกแพมเพิส ? สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือ ให้ลูกสบายใจ […]

Menu
All Categories
All Brands
All Ages
Promotions
Locations
BabyGift Family
BabyGift Care
Parents Guide
News & Event

All Categories

All Categories
All Brands
All Ages